ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งบันทึกด้วยภาษากรีก ปรากฏคำเกี่ยวกับความรักอยู่ถึง 4 คำด้วยกัน ใช้บรรยาย ความรักที่แยกย่อยได้ถึง 4 ประเภท
1. ฟิเลียส (Philios)
ยอห์น 16:19 "ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะ รัก (Phileõ) ท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้น โลกจึงเกลียดชังท่าน" |
เป็นความรักอย่างแรกของความรักสี่แบบที่กรีกค้นพบและได้ตั้งชื่อไว้ ฟีเลียสเป็นรักง่ายๆ เป็นความรักกึ่งๆ ระหว่าง อีรอส และอากาเป้ เป็นมิตรภาพที่มีต่อเพื่อนฝูง เป็นรากฐานของความจำเป็นในสังคมมนุษย์ เราเกิดมา โดยสันดาน มนุษย์ต้องการความรักและการยอมรับ
พระเจ้าได้สร้างสัตว์กลุ่มต่างๆ และเราก็ต้องมีสังคมเพื่อจะดำรงอยู่ได้ เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างให้อยู่คนเดียว พระเจ้าตรัสว่า "ไม่ ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ ที่สมกับเขาขึ้น" พระเจ้าจึงทรงปั้นบรรดาสัตว์ ในท้องทุ่ง และนกในท้องฟ้า ให้เกิดขึ้นจากดิน แล้วทรงนำมายังชายนั้น เพื่อดูว่าเขาจะเรียกชื่อมันว่าอะไร...แต่ชายนั้น ยังหามีคู่อุปถัมป์ที่สมกับตนไม่ [ปฐมกาล 2:18-20]
ครอบครัวจึงเป็นสังคมแรก และมนุษย์ต้องอยู่อาศัยด้วยกัน เพื่อมีชีวิตรอด เป็นการเอื้อเฟื้อให้แก่กันโดยพื้นฐาน ซึ่งเป็นรักชนิดหนึ่งที่พูดได้ว่า "ฉันต้องการเธอ ฉันจะเป็นเพื่อนกับเธอ เธอต้องการฉัน เธอก็จะเป็นเพื่อนกับฉัน" แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ยืนยาว ทุกคนต้องตาย ความรักแบบฟีเลียส จึงเป็นรักที่เห็นแก่ตัว เช่น "ฉันชอบเธอ ถ้าเธอชอบฉัน" ฟีเลียสไม่ค่อยให้อะไรใครเพื่อความรัก แต่เป็นมิตรภาพที่ลึกซึ้ง ซึ่งพัฒนาเป็นรักที่ลึกซึ้งต่อไปได้
ถ้าเกิดอันตรายขึ้นกับใครซักคน ฟีเลียสมักจะ "มีผลอะไรกับฉันบ้าง" รักแบบนี้จึงเอาตัวเองเป็นหลัก ให้และตอบแทนกัน เมื่อมีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้จะเป็นรักแบบเพื่อน แต่ก็ไม่สามารถตายแทนกันได้ นอกจากจะใช้ อากาเป้แทนความรักนี้
2. สตอรเก้ (Storge)
เป็นความรักญาติพี่น้อง เกิดขึ้นในคนทุกคน สตอรเก้ เป็นรักที่พัฒนาขึ้นมา ตามกระบวนการบางอย่าง ชีวิตของคนเรา มีความเกี่ยวพันกันในการเลี้ยงดู พ่อแม่ ดูแลลูกที่เกิดมา ในสัตว์ประเภทเดียวกัน เกิดมาก็รวมกลุ่มกันเพื่อความอยู่รอด คือ รักกันตามสัญชาตญาณ ไม่ต้องบอกผู้เป็นแม่ ว่าให้ปกป้องลูกน้อย เพราะมันเป็นไปโดยอัตโนมัติ แม่รักลูกตัวเอง ได้อย่างง่ายดาย เพราะนั่นเป็นลูกของแม่ แต่ความรักแบบ สตอรเก้ก็ยังเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว เพราะมีเรื่องการหวัง ผลตอบแทนทางอารมณ์ มาเกี่ยวข้อง การแสดงออกแบบ สตอรเก้ พ่อแม่เรียนรู้ความรักแบบนี้ได้ พอเด็กโต เด็กก็จะ เรียนรู้ความรักนี้โดยอัตโนมัติ
ความรักในแบบฟีเลียสจะเป็นในลักษณะที่ว่า ฉันจะรักคุณ ถ้า..... แต่ในแบบ สตอรเก้ คือ ฉันจะรักคุณ เพราะฉันควรรักคุณ อย่างเมื่อเด็กโตขึ้นมา มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ระหว่างเครือญาติ เป็นรักแบบมีเงื่อนไข หวังการตอบแทน จึงยังเป็นความรักแบบมนุษย์ ความรักแบบสตอรเก้ เรายังคงรักกันอย่างที่เราเป็น หรืออย่างที่ทุกคนเป็น
3. อีรอส (Eros)
อีรอส เป็นความรักที่ต้องการให้ได้มา (Acquisitive) บนพื้นฐานความเห็นแก่ตัว (Egocentric/Selfish) เป็นรักที่ไม่แน่นแฟ้นหรือถาวร เป็นความรักที่เกี่ยวข้องกับความใคร่ เกี่ยวพันกับเรื่องทางเพศ อีรอส เป็นความรัก ที่ตอบสนองความงามของวัตถุ และการใช้อีรอส ในทางที่ผิดจะนำไปสู่ความเสื่อม สำหรับเพลโต อีรอสเป็นความรัก ในความงาม และรักในวัตถุแห่งความงาม ซึ่งสะท้อนให้เราเห็น ถึงความงามที่สมบูรณ์แบบ ที่มีอยู่ในโลกแห่งแบบ เพลโตจึงกล่าวว่า คนรัก (Lover) หมายถึง คนที่รักในความสวยงาม
ปฐมกาล 1:27 "พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้น ตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน" |
พระเจ้าสร้างผู้ชายและผู้หญิงเพื่อมีสเน่ห์ต่อกันและกัน พระเจ้าตั้งใจให้ผู้ชาย และผู้หญิงรวมกัน เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้กำเนิดลูกหลานบนแผ่นดิน ในสวนเอเดน พระเจ้าได้ให้อำนาจมนุษย์ในการควบคุม
อีรอส มีอารมณ์ดึงดูดทางเพศของผู้ชายกับผู้หญิง ทำให้ทั้งสองประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน (One Body) อีรอส จึงเป็นความรักของมนุษย์ ที่ไม่ใช่ "ความต้องการ" ของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ในที่ต่างๆ นั้น ก็มักจะมีเรื่องของ Sex ปรากฎ ไม่ว่าจะเป็นแมกกาซีน หรือสื่อต่างๆ จึงบอกได้ว่า อีรอสยังคงมีอยู่อย่างปกติ แม้ว่า พระเจ้าจะไม่ได้เข้าไป ยุ่งเกี่ยวก็ตาม อีรอส คล้ายๆ กับ ฟีเลียส คือมีตัวเองเป็นใหญ่ และเหมือนสตอรจ ที่ต้องการสิ่งตอบแทน จริงๆ แล้ว ความรักแบบอีรอส ก็เป็นกิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง กลายเป็นเกมแห่งการ เอาชนะ เพื่อให้ได้มา ไม่ได้คิดถึงผู้อื่น มากกว่าตน แต่อีรอสก็เป็นมากกว่าลักษณะกายภาพอย่างเดียว มันเป็นเรื่องจิตใจด้วย มันได้รับการออกแบบจากผู้สร้าง ที่จะทำให้เราสังเกตุกันและกัน เพื่อจะตกหลุมรัก ก้าวไปสู่ความรักที่แท้จริง ที่ไม่ใช่แค่ตัณหา แต่เป็นความรักที่งดงาม มีการจีบ คบกัน และแต่งงาน ซึ่ง ความรักแบบมนุษย์ทั้ง 3 ประเภทนี้ ไม่ต้องให้พระเจ้าช่วยให้เกิดขึ้น
4. อกาเป้ (Agape)
ยอห์น 3:16 "เพราะว่าพระเจ้าทรง รัก (Agape) โลก จึงได้ประทาน พระบุตรองค์เดียว ของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจ ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์" |
รักในระดับสูงสุด รักที่ให้แก่กัน ไม่คิดถึงตัวเอง และสละได้ทุกสิ่งเพื่อสิ่งที่รัก ไม่มีเปลี่ยนแปลง และให้ได้เสมอ แม้เป็นศัตรู ความรักแบบอกาเป้อาจหมายถึง การรักในชื่อเสียง รักในเงินทอง หรือรักในอะไรก็ตาม ที่คนเรายอมตายถวายชีวิตให้ การที่พระเยซูคริสต์ยอมตาย เพื่อคนอื่นเรียกได้ว่า เป็นความรักแบบอกาเป้ จนกระทั่งมีคำพูดเขียนไว้ว่า
"Not that God is Eros or Stroge or Philia, but Agape"
อกาเป้เป็นความรัก แบบไม่มีเงื่อนไข อาจกล่าวได้ว่า ในบรรดาความรักทั้งหมด อกาเป้สำคัญที่สุด เพราะความรัก สามแบบแรก Eros, Storge และ Philia ล้วนแต่เกิดขึ้นในใจคนเราได้ โดยไม่ต้องพยายาม เราย่อมจะรักพ่อแม่ของเรา และย่อมรักเพื่อนฝูงเพราะเขาดีกับเรา และบ้างก็คิดเหมือนเรา แต่อกาเป้ เป็นความรักชนิดเดียว ที่สิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล จะสร้างไว้ในใจตัวเองได้ เพราะเป็นความรัก ที่ต้องมีให้ แม้แต่คนที่เกลียดชัง
1 ยอห์น 4:16 "พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรัก ก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตย์อยู่ในผู้นั้น" |
ความรักทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นความรัก บริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ แต่รักทุกแบบ ไม่ได้ต้องการพระเจ้า เว้นแต่อากาเป้ เป็นรักที่ต้องให้พระเจ้าเข้ามาช่วย เป็นรักในแบบที่พระเจ้าต้องการ [นิยามความรัก]
ความรักของคริสเตียน
ความรักของคริสเตียน เป็นความรักในแบบพระเจ้า ซึ่งเน้นในแง่การปฏิบัติ มากกว่าความรู้สึกเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้จากทั้งความรักของพระเจ้าและความรักของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ พระคัมภีร์จึงสั่งให้มนุษย์รักคนอื่น ไม่ว่าจะรู้สึกชอบหรือไม่ชอบก็ตาม
มัทธิว 22:37-39 [ พระบัญญัติข้อใหญ่ ]
มัทธิว 5:44 "ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน"
ยอห์น 13:34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น
ยอห์น 15:17 สิ่งที่เราสั่งท่านทั้งหลายไว้ก็คือ ท่านจงรักกันและกัน
ยอห์น 4:20-21 ถ้าผู้ใดว่า "ข้าพเจ้ารักพระเจ้า" และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่า ผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตน ที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้ พระบัญญัตินี้ เราทั้งหลาย ก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าให้คนที่รักพระเจ้านั้น รักพี่น้องของตนด้วย |
ความรักของคริสเตียน ไม่ได้หมายความว่า คนหนึ่งคนใด พยายาม ที่จะสร้างความรู้สึกรัก ขึ้นในตัวเอง แต่ต้อง แสดงความรักนั้น ต่อผู้อื่น ในรูปการกระทำด้วยใจจริง [ "แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร" - มัทธิว 5:46] เพราะความรักของพระเจ้า ได้ครอบครองชีวิตอยู่ ทำให้ปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งเขาแสดงความรัก ต่อคนอื่นมากเท่าใด ความรู้สึกรักคนนั้น ก็จะมีมากขึ้นตามมา
โรม 5:5 "และความหวังใจ มิได้ทำให้เกิดความเสียใจ เพราะผิดหวัง เพราะเหตุว่า ความรักของพระเจ้า ได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว"
2 โครินธ์ 5:14, 17 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่ เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ ว่ามีผู้หนึ่ง ได้ตายเพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้นคนทั้งปวงจึงตายแล้ว ... เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูก สร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น |
ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ เป็นความรักดั้งเดิม ตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงรักมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงเลือกรักพวกเขา ไม่ใช่รักเพราะพวกเขาได้สร้างคุณงามความดี หรือทำอย่างหนึ่งอย่างใดดีเลิศ จึงสมควรได้รับความรัก
เฉลยธรรมบัญญัติ 7:7-8 ที่พระเจ้าทรงรัก และทรงเลือกท่านทั้งหลายนั้น มิใช่เพราะท่านทั้งหลาย มีจำนวนมากกว่าประชาชนชาติอื่น ... แต่เพราะพระเจ้าทรงรักท่านทั้งหลาย และพระองค์ทรงรักษาคำปฎิญาณ ซึ่งพระองค์ทรงปฎิญาณ ไว้กับบรรพบุรุษ ของท่านทั้งหลาย...
เยเรมีห์ 31:3 เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้น เราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป |
เรื่องนี้ เห็นได้ชัดเจนจากพระเยซูคริสต์ ตลอดชีวิตของพระองค์ ทรงช่วยเหลือ คนที่ต้องการความช่วยเหลือ และโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์สามาารถช่วยคนบาป ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ การไถ่โทษความบาปมนุษย์ เกิดขึ้นได้ ก็ด้วยความรักของพระเจ้า [มธ.14:14; มก.10:21; ลก.7:3; กท.2:20; อฟ.2:4-7; 5:25] พระเยซูคริสต์ เป็นผู้เหมาะสมมากที่จะแสดงให้มนุษย์เห็นถึงความรักของพระเจ้า เพราะว่า พระเยซูและพระบิดา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยความสัมพันธ์ซึ่งพระบิดารักพระบุตร และพระบุตรรักพระบิดา [ยน.3:35; 10:31; 14:31; 15:9; 17:24;]
เรื่องนี้อาจจะยากต่อความเข้าใจของบางคน เมื่อเขาคิดถึงเรื่องพระพิโรธ ของพระเจ้า และการพิพากษาของพระองค์ แต่นั่นเป็นเพราะ พวกเขาเข้าใจลักษณะแห่งความรักของพระเจ้าผิดไป ความรักของพระเจ้า ไม่ใช่ความรู้สึก ที่แยกออก จากความยุติธรรม หรือความชอบธรรม ความรักของพระองค์ มีท่าทีแน่นอน ทรงหวังดีต่อมวลมนุษย์มาก จึงต่อต้าน สิ่งผิดทั้งปวง ด้วยพระพิโรธอันชอบธรรม พระพิโรธของพระเจ้า เป็นผลสืบเนื่องมากจาก ความรักของพระองค์ [ฮบก.1:13; 1 ยน.1:5;]
โรม 5:8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรา ยังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา |
พระเจ้ามีพระประสงค์ ที่จะยกโทษความบาปให้แก่มนุษย์ แต่เนื่องจากพระองค์ เป็นพระเจ้าแห่งความบริสุทธิ์ และยุติธรรม พระองค์จึงไม่ยอมปล่อยปละละเลยความบาป เหมือนกับว่า การทำบาป เป็นเรื่องไม่สำคัญ พระองค์จึงต้อง จัดการความบาป แต่พระองค์ก็ได้ทรงจัดเตรียมทางรอดไว้ให้ด้วย เพื่อคนบาปทั้งปวงจะไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะเหตุ พระเจ้าเป็นความรัก พระองค์จึงได้บังเกิดเป็นมนุษย์ คือ พระเยซูคริสต์ เพื่อรับโทษบาปแทนมนุษย์ ด้วยพระองค์เอง บนไม้กางเขน [ยน.1:14-18; ยน.4:10]
เพราะความรักนี้เอง เป็นเหตุให้พระเจ้า ทรงตีสอนบรรดาคนที่เชื่อ และเป็นบุตรของพระองค์ เพื่อให้พวกเขาเติบโต ไปสู่ความสมบูรณ์ฝ่ายจิตวิญญาณ พระเจ้าทรงรักมนุษย์ ในฐานะเป็นผู้ใหญ่กว่าเขา ส่วนมนุษย์รักพระเจ้า ในฐานะ ผู้ยอมเชื่อฟังการตีสอนของพระองค์ แต่การร้องขอให้พระองค์ หยุดตีสอน ก็เท่ากับการร้องขอ ให้พระองค์ ทรงรักน้อยลงนั่นเอง [ฮบ.12:5-11] ความรักเรียกร้องให้ คนที่ถูกรักมีความบริสุทธิ์ [อฟ.5:25-27; ยก.4:5]
โรม 8:28 เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวง ที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ |
คริสเตียน ควรจะรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแก่เขาเหมือนกับว่า พระเจ้าทรงแสดง ให้เห็นถึงความรักของพระองค์ และทรงให้ทุกสิ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ พระเจ้าประทาน พระบุตรของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องประกันว่า ของประทานอื่นๆ นั้น ก็เป็นเครื่องแสดงออก ให้เห็นถึงความรัก ของพระองค์เช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรในชีวิต แม้แต่ความตาย จะสามารถแยกผู้ที่เชื่อ ออกจากความรัก ของพระเจ้าได้เลย [รม.8:32-39]