ในหลายสิบปีที่ผ่านมา มีคำพยากรณ์มากมายที่บอกว่า การฟื้นฟูครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย
โดยไฟแห่งการฟื้นฟูจะถูกจุดขึ้นที่ภาคเหนือก่อนแล้วแพร่ลามไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
การเปิดเผยโดยพระวิญญาณของพระเจ้าในเรื่องนี้ เกิดขึ้นย้ำๆ ซ้ำกันหลายครั้ง
จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางทั่วไปในท่ามกลางคริสตชนทั้งหลายราวกับเป็นข้อเท็จจริงฝ่ายวิญญาณไปแล้ว
ประกอบกับ เมื่อพิจารณาข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์
เหตุการณ์ที่คริสเตียนไทยคนแรกได้ยอมตายเพราะความเชื่อ
เกิดขึ้นที่บ้านแม่ปูคา อำเภอสันกำแพง เชียงใหม่ และข้อมูลเชิงสถิติพบว่า
จังหวัดที่มีจำนวนคริสตจักรมากที่สุดในประเทศไทยนั้นคือเชียงใหม่
(รองลงมาคือกรุงเทพฯ และเชียงราย)
เมื่อมองโดยภาพรวมแล้วภาคเหนือจึงเป็นชุมชนคริสเตียนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
องค์ประกอบเหล่านี้ ทำให้ผู้เชื่อทั้งในท้องถิ่น และทั่วประเทศ
และแม้กระทั่งบรรดามิชชั่นนารีที่เกี่ยวข้องต่างกำลังคาดหวังที่จะเห็นการฟื้นฟูเกิดขึ้นในยุคสมัยของตน
คำถามข้อใหญ่คือ จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่? และในรูปแบบใด?
ผู้รับใช้พระเจ้าหลายท่านที่มีใจร้อนรนได้พากันลุกขึ้นเพื่อจะกระทำให้นิมิตนี้สำเร็จ
สิ่งที่กลายเป็นคำสามัญติดปากเราทุกคนไปแล้วก็คือคำว่า "การประชุมฟื้นฟู"
ทุกคนอยากเห็นการฟื้นฟูเกิดขึ้น เราจึงลุกขึ้นจัดการประชุมฟื้นฟู...
จัดกลุ่มอธิษฐานเพื่อกระตุ้นให้เกิดการฟื้นฟู... จัดสัมมนา
จัดประกาศกลางแจ้ง จัดรวมพลังนมัสการ ตลอดจนกิจกรรมฝ่ายวิญญาณต่างๆ
โดยความคาดหวังว่า เราจะไปแตะโดน "ปุ่มฟื้นฟู" เข้าสักวันหนึ่ง
จนการฟื้นฟูระเบิดขึ้นและลุกลามไปทั่ว...
นักธุรกิจคริสเตียนหลายท่านยอมทุ่มทุนไปมากมาย
เพราะอยากเห็นการฟื้นฟูเกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงการประชุมที่น่าตื่นเต้น และเร้าใจ...
และคริสตจักรอาจยังคงอยู่ห่างไกลจากคำว่า "ฟื้นฟู" อีกหลายก้าว...
ที่น่าคิดคือ การประชุมที่จัดๆ ไปนั้นอาจต้องใช้เงินมาก
ในขณะที่ถ้าเกิดการฟื้นฟูขึ้นจริงๆ เราอาจไม่ต้องใช้เงินเลยก็ได้...
ผู้นำคริสตจักรหลายท่าน
ยอมทุ่มเทเรี่ยวแรงและทรัพย์สินด้วยความตั้งใจดีที่อยากเห็นการฟื้นฟูเกิดขึ้น
เราเฝ้าเสาะแสวงหา "นักเทศน์ฟื้นฟู" หรือทีมฟื้นฟู
เพื่อจะเชิญมาทำการฟื้นฟูในคริสตจักรหรือกลุ่ม คณะ ของเรา
เราได้รับการเจิมด้วยไฟ เราได้สัมผัสน้ำพุของพระเจ้า
มีคนล้มลงในฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ มีคนหัวเราะชนิดควบคุมตัวเองไม่ได้
เพราะความปิติยินดีในพระวิญญาณ มีคนร้องไห้เพราะสำนึกผิดบาป
มีคนกลับใจใหม่เพราะเห็นฤทธิ์อัศจรรย์ของพระเจ้า...
ผมเคยเห็นสมาชิกจากคริสตจักรในสภาฯ
จำนวนมากโยกย้ายไปอยู่กับคริสตจักรเพนเตคอสต์หลายแห่งในเชียงใหม่
ต่อมาเมื่อมีการฟื้นฟู "การนมัสการในพระวิญญาณ"
สมาชิกจากคริสตจักรเพนเตคอสต์และสภาฯ
ก็พากันย้ายไปอยู่กับคริสตจักรคาริสเมติคต่างๆ
จนหลายคริสตจักรต้องรีบปรับตัวและ "ฟื้นฟู" แนวทางการนมัสการของตนเอง
เพื่อรักษาสมาชิกของตนไว้...
เพราะความร้อนรนที่ทุกคนอยากเห็น
อยากมีส่วนในการฟื้นฟูใหญ่ของพระเจ้า
แค่เราได้เห็นประกายไฟของพระเจ้าที่โน่นนิด ที่นี่หน่อย
ได้แตะละอองน้ำของพระเจ้าบ้างแบบประปราย
เราก็จะรีบร้องตะโกนออกมาด้วยความยินดีว่า "ฟื้นฟูแล้ว ฟื้นฟูแล้ว"
อีกประการหนึ่ง
เมื่อพระเจ้าเริ่มใช้ผู้นำบางท่านเพื่อเริ่มจุดประกายของการฟื้นฟูขึ้น
อารามดีใจเราก็รีบออกไปประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนได้รับรู้ถึง "ความสำเร็จ"
ที่กำลังเกิดขึ้น
เส้นแบ่งระหว่าง "การเป็นพยานเพราะความยินดี" กับ
"การโอ้อวดถึงความสำเร็จ" นั้นบางมาก แทบจะแยกจากกันไม่ออก มีแต่เจ้าตัว กับพระเจ้าเท่านั้นที่บอกได้ว่า ท่าทีลึกๆ ในใจของเรานั้นอยู่ฝ่ายวิญญาณหรือเนื้อหนัง และบางครั้งจิตใจของเราก็แยบยล และเหลี่ยมจัดจนตัวเองแยกไม่ออกเหมือนกันว่าเรากำลังอยู่ฝ่ายวิญญาณหรือเนื้อหนังกันแน่?
ที่จริงหลายครั้ง พวกเราหลายคนเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณชัดๆ ....
พอมารู้ตัวอีกที การฟื้นฟูก็หยุดไปแล้ว และเรากำลังจบลงด้วยเนื้อหนัง
หลายคนจึงดิ้นรนสร้างอนุสาวรีย์ให้แก่ตัวเอง
และการงานนับจากนั้นต่อไปก็เป็นเพียงแค่การเฝ้าซากของการฟื้นฟูซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว
สรุปแล้วการฟื้นฟูที่ว่าได้เคยเกิดขึ้นในภาคเหนือแล้วหรือยัง?
หรือจะเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า?
ผมเชื่อว่าพระเจ้าได้พยายามที่จะทำให้เกิดการฟื้นฟูขึ้นมาหลายครั้งแล้วในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งในแง่ของการพลิกฟื้นจิตใจเหล่าคริสเตียนให้หันกลับมาสู่ความรักดั้งเดิมในพระเจ้า
และการสำแดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าท่ามกลางผู้ที่ยังไม่เชื่อ
จนหลายคนยอมมอบถวายชีวิตให้แก่พระคริสต์
สำหรับทุกท่านที่ร้อนรนเพื่อพระเจ้า
พระเจ้าอาจเคยเริ่มจุดประกายการฟื้นฟูนั้นผ่านตัวของคุณมาแล้วด้วยซ้ำ
ยอมรับไหมว่า
ท่านเคยอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงใช้ท่านและคริสตจักรให้เป็นหัวหอกของการฟื้นฟู?
หรือขอให้ได้มีส่วนกับแผนการแห่งการฟื้นฟูของพระเจ้า?
และพระเจ้าก็คงได้เคยพยายามที่จะตอบคำอธิษฐานนั้นเพื่อท่านไปแล้ว
แต่กิจกรรมและท่าทีแบบเนื้อหนัง โดยเฉพาะความเย่อหยิ่ง คือสิ่งที่
"ดับ" พระวิญญาณ
แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ได้เข้าใกล้และตบแก้มมีคายาห์ พูดว่า
"พระวิญญาณของพระเจ้าไปจากข้า พูดกับเจ้าได้อย่างไร?"
-1 พงศ์กษัตริย์ 22 ข้อ
24, 25
กษัตริย์อาหับได้ชักชวนเยโฮชาฟัทออกไปทำสงครามยึดดินแดนคืนจากซีเรีย
เยโฮชาฟัทรับปากแต่โดยความยำเกรงพระเจ้าจึงอยากรู้ก่อนว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าหรือไม่ที่จะออกไปทำสงครามครั้งนี้
อาหับบัญชาให้เรียกผู้เผยพระวจนะมาสี่ร้อยคนเพื่อแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า
ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าพระเจ้าสำแดงให้ออกไปรบ และจะมีชัยชนะแน่
มีคายาห์ผู้เผยพระวจนะถูกเรียกตัวมาในช่วงสุดท้ายเพื่อให้เปิดเผยถึงน้ำพระทัยพระเจ้า
ท่านทูลต่อกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า
กองทัพอิสราเอลจะพ่ายแพ้และพระองค์จะถึงแก่ชีวิต
ซึ่งทำให้อาหับไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง เศเดคียาห์
ผู้เผยพระวจนะเทียมซึ่งถูกครอบงำด้วยวิญญาณมุสาจึงเข้ามาตบหน้ามีคายาห์
พร้อมกับตั้งคำถามว่า "พระวิญญาณของพระเจ้าไปจากข้า
พูดกับเจ้าได้อย่างไร?"
ประโยคนี้ มีความหมายในทำนองที่ว่า...
ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าจริง
พระเจ้าต้องพูดหรือทำการผ่านทางข้าเท่านั้น...
ถ้าพระเจ้าจะฟื้นฟูจริง
พระเจ้าจะต้องฟื้นฟูผ่านทางคริสตจักรหรือคณะของเราเท่านั้น...
เศเดคียาห์ มีทีมงานตั้งสี่ร้อยคน มีชื่อเสียง มีเกียรติ
มีเครดิตน่าเชื่อถือมากกว่ามีคายาห์อยู่อย่างเห็นได้ชัด
ตามมาตรฐานของอาหับแล้ว
พวกเขามีประวัติและชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับนับถือในแวดวงพันธกิจมากกว่า...
เศเดคียาห์ก็คงเชื่ออย่างนั้นโดยสนิทใจ
โดยอิทธิพลที่เขามีอยู่พอสมควรต่อหน้ากษัตริย์
เขาจึงตบหน้าผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าและตั้งคำถามออกไปในทำนองเย้ยหยันแบบนั้น...
ทุกวันนี้ อาจไม่มีผู้นำท่านใดกล้ายอมรับอย่างเปิดเผยว่า ลึกๆ
ภายในเราอาจมีท่าทีเช่นนี้ซ่อนอยู่
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเล้นรับจนถึงกับเรามองไม่เห็นเสียเลยทีเดียว
เพราะพระเจ้าอาจยอมให้เกิดความเคลื่อนไหว เกิดเหตุการณ์ "ฟื้นฟู"
แบบย่อมๆ ขึ้นมา ที่โน่นนิดที่นี่หน่อย เพื่อทดสอบดูท่าทีในใจของเรา
หรือเพื่อทำให้ท่าทีในใจของเราเปิดเผยออกมา....
เมื่อเราพยายามผูกขาดว่า การฟื้นฟูของแท้
หรือการเคลื่อนไหวของพระเจ้าจะต้องเกิดขึ้นผ่านทางเราเท่านั้น
เมื่อเรารู้สึกขัดเคืองใจที่เห็นคนอื่นได้เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟู
แต่เราไม่
เมื่อเราพยายามลดความน่าเชื่อถือในการฟื้นฟูของคนอื่น..
กลุ่มอื่น...ซึ่งเราไม่ได้เป็นคนริเริ่ม
เมื่อเรารับไม่ได้
ที่จะเห็นพระเจ้าใช้คนอื่นเป็นหัวหอกของการฟื้นฟูแทนเรา?
เมื่อเราไม่พอใจที่พระเจ้าเลือกใช้ และเคลื่อนไหวผ่านคนอื่น
โดยที่ไม่ทรงมาปรึกษาเราก่อน?
"ฉาด!" เสียงตบดังจนหน้าหัน พร้อมกับคำถามยอดฮิต
"พระวิญญาณของพระเจ้าพรากจากข้าไปพูดกับเจ้าได้อย่างไร?"
ความเย่อหยิ่งทำให้พระพรหยุดชะงัก
ความหยิ่งยะโสเป็นเหมือนน้ำเย็นที่ดับไฟของพระวิญญาณ
เป็นต้นเหตุของการแก่งแย่งชิงดี แตกแยก ทะเลาะเบาะแว้งและเห็นแก่ตัว
ตลอดจนอุบายต่ำช้าสารพัดอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในแวดวงการรับใช้พระเจ้า
ทั้งการใส่ร้าย ป้ายสี การแทงข้างหลัง การหักหลัง การโจมตี
และกิจกรรมอีกหลายอย่างที่เรากระทำกันอยู่ "ในพระนามของพระเจ้า"
ทั้งๆ ที่ทั้งหมดนี้
ยังไม่ใช่การฟื้นฟูตามความหมายของคำพยากรณ์สำหรับภาคเหนือเลย ทั้งๆ
ที่สิ่งที่เราและเพื่อนผู้รับใช้พระเจ้ากำลังสัมผัสอยู่นี้เป็นเพียงแค่ส่วนเสี้ยวของการฟื้นฟูใหญ่ที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น
แต่ก็ถือเป็นการทดสอบด่านแรก
ว่าเราพร้อมกันหรือยังสำหรับการฟื้นฟูใหญ่ที่กำลังจะมาถึง?
และก็น่าจะเป็นคำตอบที่เพียงพอแล้วว่าทำไมการฟื้นฟูใหญ่อย่างที่กล่าวขานกันมานานนั้นยังไม่เกิดขึ้นซักที?
ในชั่วชีวิตผู้รับใช้พระเจ้าคนหนึ่ง
ผมว่ามันเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ถ้าพระเจ้าจะเลือกใช้เราให้มีส่วนในการฟื้นฟูใหญ่ที่จะมาถึงประเทศไทย
- เริ่มต้นที่ภาคเหนือก่อน
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นหัวหอก ไม่ได้เป็นผู้นำการฟื้นฟู
แค่ได้มีส่วนในแผนการของพระเจ้าเพียงเล็กน้อยก็น่าภูมิใจมากยิ่งแล้ว
แต่หัวใจของการรับใช้ที่เราต้องคงรักษาไว้ก็คือ
"พระองค์จะต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนเราจะต้องเล็กลง"
และหลักการแห่งแผ่นดินสวรรค์ก็แปลกประหลาดและพลิกผัน
ตรงข้ามกับระบบของโลกไปอย่างสิ้นเชิง -อะไรๆ
ที่คนเราดิ้นรนไขว่คว้าและเสาะแสวงหา เรามักจะต้องสูญเสียมันไป
แต่เมื่อท่าทีของเราถูกต้อง
และเราพร้อมจะสูญเสียทุกอย่างเพื่อเห็นแก่พระนามของพระเจ้าและแผ่นดินของพระองค์
พระองค์กลับเลือกที่จะประทานสิ่งนั้นให้แก่เรา
คุณอยากเป็นไหมล่ะ"หัวหอกของการฟื้นฟู"
เพื่อภาคเหนือและเพื่อประเทศไทยเรา?
ผมเชื่อว่า ถ้าคุณพร้อมที่จะถ่อมตัวลงอย่างแท้จริง
พระเจ้าก็ทรงพร้อมที่จะใช้คุณเช่นกัน
เขียนโดย : ประพันธ์ หน่อราช
ข้อมูลจาก : http://www.gracezone.org/index.php/other-knowlage-christian/805-revive-leader
และพบกับบทความดีๆอีกมากมายได้ที่ >> http://www.gracezone.org